วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Apart2010

สนใจสั่งซื้อสินค้าได้ที่


ผลิต นำเข้า จัดจำหน่าย ขายส่ง หินหยกแกะสลัก ตรงจากโรงงาน จากประเทศจีน
รับผลิตตามคำสั่งซื้อ รับพรีออเดอร์กรณีต้องการสั่งผลิตไม่ถึงจำนวนผลิตขั้นต่ำ กรณีต้องการซื้อปลีกจะขายให้ในราคาพิเศษ




แนวทาง และนโยบายการปฏิบัติของเรา
การผลิตสินค้าของเราจะเป็นแบบ Made to Order จะไม่มีการผลิตสินค้าไว้ในสต๊อกเป็นจำนวนมากเนื่องจากมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิต ความเสียหายจากการเก็บสต๊อก และค่าใช้จ่ายเก็บรักษาที่สูง วัตถุดิบเป็นหินหยกธรรมชาติซึ่งปัจจุบันมีปริมาณลดน้อยลง ทางเราจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบที่มีอยู่อย่างจำกัดนำมาผลิต ตามแบบงานที่มีความต้องการ และเราจะดำเนินการผลิตก็ต่อเมื่อมีการแจ้งสั่งซื้อเข้ามาเท่านั้น



ขั้นตอนการแกะสลักหยก
1.ขั้นตอนการวาดโครงร่าง หินหยกจะถูกนำมาวาดโครงสร้างและรูปแบบที่เราต้องการจะแกะสลัก
2.ขั้นตอนการตัด หลังจากที่ได้ทำการวาดแบบเสร็จแล้วจะถูกนำไปตัดในส่วนที่เราไม่ต้องการออก
เพื่อให้ได้รูปร่างคร่าว ๆ ตามแบบ
3.ขั้นตอนการโกรน เมื่อเริ่มได้รูปร่างคร่าว ๆ ตามแบบแล้ว ก็จะนำหินหยกที่ได้มาทำการโกรน
เพื่อต้องการลบเหลี่ยมและสร้างส่วนโค้งมนให้กับรูปแบบ
4.ขั้นตอนการลงรายละเอียด โดยในส่วนของขั้นตอนนี้จะยากที่สุด เนื่องจากต้องอาศัยทักษะและความชำนาญเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นชิ้นงานจะเสียรูปร่างและไม่สวยงาม
5.ขั้นตอนสุดท้าย ช่างจะทำการขัดเงาเพื่อให้หินหยกที่ได้จากการแกะสลักเกิดความมันวาว
และแลดูสวยงามเพิ่มยิ่งขึ้น

หินหยกแกะสลักแท้ ไม่ใช่หินอัด
ก้อนหินหยกธรรมชาติสีเขียว


ก้อนหินหยกธรรมชาติสีน้ำผึ้ง

หินธรรมชาติต่างจากหินเทียม หรืออัดขึ้น เช่น หินอัดสีจะจาง และหม่องลงเหมือนเวลาผ่านไป 3-4ปี หินอัดจะเกิดการแตกร้าวแม้ไม่ได้เกิดการกระทบกระเทือน และเกิดการสึกหรอเป็นผงฝุ่นบริเวณผิว ความเงางามจะลดลงอย่างรวดเร็ดเป็นหลุมเป็นบ่อบริเวณผิว ซึ่งแตกต่างจากหินหยกธรรมชาติที่ก่อตัวสะสมนับล้านๆปี จะอยู่คงทน ดูดซึบไอฟ้าดินเสริมธาตุความศักคิ์สิทธ์อยู่ยั่งยืนคู่ฟ้าดิน ดั่งคำพูดชาวจีนว่า "หยกเป็นอัญมณีแห่งสวรรค์"แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานเท่านานก็ยังคงอยู่ เหมือนที่ขุดพบในสุสาน โบราณสถานที่เก่าแต่ก็ยังคงอยู่ดังเช่นเดียว





ขายสัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์มงคล แกะสลักจากหินหยก

มังกร ปี่เซียะ ผีซิว กินเลน เต่ามังกร ปี้ซี่ คางคกสามขา คางคกสวรรค์ กบสามขา เสี่ยมชู้ หินหยกแกะสลัก



ขายสัตว์มงคล แกะสลักจากหินหยก

ช้าง เสือ ม้า กระทิง ควาย กระต่าย เต่า หมู หินหยกแกะสลัก




ขายเทพเจ้าจีน แกะสลักจากหินหยก

เจ้าแม่กวนอิน พระสังกัจจายน์ ไฉ่ซิงเอี๊ย ฮก ลก ซิ่ว หินหยกแสลัก


ขายเครื่องใช้ แกะสลักจากหินหยก

กระถางธูป แจกัน ชุดน้ำชา กล่องใบชา หินหยกแกะสลัก


ขายงานหินหยกแกะสลักอื่นๆ

น้ำเต้า ผักกาดขาว เรือ เรือมังกร หินหยกแกะสลัก



สนใจสั่งซื้อได้ที่ 

หยก อัญมณีหินจากสวรรค์

หยก เป็นอัญมณี ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่คนนิยมเสริมสิริมงคลให้มากขึ้น ด้วยความที่มันสวยเป็นเครื่องประดับได้ และยังถือว่าเสริมมงคลอีกต่างหาก
"หยก" หมายถึง แร่สองชนิด คือ เจไดต์และเนไฟรต์ แร่ทั้งสองชนิดนี้มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันและมีรูปลักษณ์เหมือนกันมาก ซึ่งจะมีสีแตกต่างกันออกไป นับตั้งแต่สีขาวนวลไปจนถึงสีม่วงหรือแม้กระทั่งสีดำและสีเขียว ซึ่งเป็นสีที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด คำว่า "หยก" ซึ่งเป็นชื่อเรียกรวมของแร่ทั้งสองชนิดนี้ มีต้นกำเนิดมาจากคำภาษาสเปน "piedra de la ijada" แปลตามตัวว่า "หินสีข้าง" (เชื่อว่าเป็นชื่อที่ตั้งให้กับหินชนิดนี้ ในฐานะที่ชาวอินเดียนนำหินดังกล่าวมาใช้ในการรักษาที่เกี่ยวกับไต) นักผจญภัยชาวสเปนผู้ค้นพบในอเมริกาเชื่อว่าหยกสามารถรักษาโรคไตได้ นอกจากนี้คำว่า "Nephrite" ยังมาจากคำว่า "Nephros" ซึ่งเป็นภาษากรีกแปลว่า "ไต"
ชาวอินเดียนแดงสวมใส่แร่ชนิดนี้เป็นเครื่องรางป้องกันไม่ให้ถูกงูพิษกัดและเพื่อรักษาโรคลมบ้าหมู และชาวพรีโคลัมเบียน (ชาวอเมริกันอินเดียนก่อนสมัยที่โคลัมบัสค้นพบอเมริกา) ใช้หยกอย่างแพร่หลาย เช่นเดียวกับมหาราชาของอินเดียหลายพระองค์ที่คลั่งไคล้หยกอย่างมาก เพราะสมบัติล้ำค่ามากมายของมหาราชาเหล่านี้แกะสลักมาจากหินอันทรงคุณค่าชนิดนี้นั่นเอง
แต่ทว่าไม่มีชาติใดที่จะมีความเกี่ยวข้องกับหยกมากไปกว่าชนชาติจีนอีกแล้ว ชาวจีนนำหยกมาใช้
เมื่อ 4,000 ปีมาแล้ว หยกฝังแน่นกับวัฒนธรรม หลักปรัชญา และมโนทัศน์ของชาวจีน หยกคือสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกับชนชาติจีน แม้กระทั่งปัจจุบันก็มีชาวตะวันตกไม่มากนักที่ลุ่มหลงหยก หยกที่ดีที่สุดนั้นมาจากประเทศพม่า คนจีนนั้นมีความเชื่อว่าหยกมีพลังอำนาจพิเศษที่ช่วยคุ้มครองผู้สวมใส่ เช่น คนที่ใส่ตกบันไดหรือถูกรถชน แต่สิ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างเดียวคือ สร้อยข้อมือหยก หยกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ หรือไม่ก็หักเป็นสองซีก เพราะว่ามันจะดูดซับผลกระทบจากอุบัติเหตุนั้นไว้และยอมให้ตัวมันเองแตกหัก ก็เลยช่วยชีวิตของคนสวมหรือช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายร้ายแรงขึ้นได้ ใครก็ตามที่เพิ่งประสบเหตุการณ์ทำนองนี้จะรีบออกไปซื้อจี้หยกมาแทนของเก่าทันที ไม่มีใครสนใจจะสวมใส่หยกที่ได้รับการซ่อมใหม่แม้ว่าจะซ่อมออกมาดีก็ตาม เพราะพลังอำนาจในการคุ้มครองหมดไปแล้วจึงต้องใช้อันใหม่แทนที่

สีสันหยก บอกความหมาย
หยกสีเขียว
มีความหมายในด้านอุดมสมบูรณ์ ความมั่นคั่ง ความร่ำรวย ชาวจีนเชื่อว่าหยกสีเขียวเป็นต้นกำเนิดของคำว่า "เงินทองไหลมาเทมา" หากใครต้องการเสริมความมั่งคั่งให้กับตนเองก็ควรมองหาหยกสีเขียวมาสวมใส่กัน
หยกสีขาว
สื่อความหมายว่าเป็นสิ่งที่นำเอาความมีโชดดีมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ผุดผ่องซึ่งเน้นลงไปถึงพลังจิตใจที่ใสสะอาด นอกจากนั้นยังหมายถึงความมีอายุยืนด้วย
หยกสีม่วง
หมายถึงการมีความสมบูรณ์พร้อมทั้งยังช่วยรักษาด้านอารมณ์ของผู้สวมใส่ให้มีความอดทนอดกลั้นและมีความสุขอยู่ตลอดเวลา
หยกสีแดง
หมายถึงการรับรู้อารมณ์ของความรักได้ดี ทั้งยังเป็นหยกที่ช่วยลดความโกรธและความเครียดต่างๆได้อีกด้วย กล่าวได้ว่าคนที่สวมใส่หยกสีแดงนั้นมักจะเป็นคนที่สนุกสนานในการใช้ชีวิตและทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างรูสึกคล้อยตามได้ไม่ยาก และนั้นเป็นหนทางที่ทำให้มีคนสนใจและพอใจจนอาจส่งรัศมีความรักให้ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นการเป็นคนสนุกสนานก็ย่อมทำให้คลายเครียดและมีความสุขเพิ่มมากขึ้นด้วย
หยกสีเหลือง
เป็นสัญลักษณ์แห่งการกระตุ้นชีวิตชีวาให้เต็มไปด้วยความสุข สนุกสนาน ทั้งยังเป็นการเพิ่มพลังให้กับผู้สวมใส่ตลอดเวลา นับว่าหยกสีเหลืองนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งการสร้างสรรค์โดยแท้จริง และถือว่าเป็นสีที่เหมาะสมกับอาชีพที่ต้องการความสุขและการสร้างสรรค์สูงๆเช่น อาชีพศิลปิน นักแสดง

ทัศนคติเกี่ยวกับอัญมณี ของชนชาติต่างๆมีตรงกันบ้าง ต่างกันบ้าง ทั้งในด้านความเชื่อ และคุณค่าของอัญมณี หลายพันปีมาแล้วที่ชาวจีนมีความเชื่อว่า "หยก" เป็นอัญมณีล้ำค่า เป็นสิริมงคลแก่ ผู้ที่ได้มาครอบครอง ทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง โชคดี อายุยืนยาว
ชาวจีนโบราณเรียกหยกว่า "หยู" หรือ "หยุก" หรือ "เง็ก" ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ ที่สวรรค์ประทานให้ ยกย่องให้หยกเป็นสัญลักษณ์ของคุณธรรม 5 ประการ คือ ใจบุญ สมถะ กล้าหาญ ยุติธรรม และมีสติปัญญา ความแข็ง และความหนาแน่นของเนื้อหยกนั้นเปรียบเสมือนความฉลาด และความกล้าหาญ ความลื่นเป็นมันของผิวหยกคือ ความยุติธรรม และการให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลเป็นเครื่องหมายของความกตัญญูรู้คุณ
คนจีนยังเชื่อกันอีกว่า หยกเป็นสื่อของพลังในการสร้างสรรค์ มีอำนาจคุ้มครองป้องกันอัปมงคล เสนียดจัญไร และถือว่าเป็นโชคลาง โดยมีข้อสังเกตว่า ถ้าหยกที่สวมใส่อยู่นั้นมีสีสันสดใสขึ้น แปลว่า กำลังจะมีโชคดี แต่ในทางกลับกัน ถ้าหยกนั้นมีความหมองมัวหรือเห็นรอยแตกร้าว ชัดเจนก็เชื่อกันว่า กำลังจะมีเคราะห์ร้ายเกิดขึ้น
ชาวจีนนิยมนำหยกมาแกะสลักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เช่น ปลา เต่า จิ้งหรีด หน้าเสือ หน้าเสือสองหน้า เรียกว่า เต๋าเตี่ย (Tao Tieh) ใช้เป็นเครื่องลาง บางทีก็ประกอบกีบความเชื่อ เช่น นำมาแกะเป็นรูปกลมแบนมีรูตรงกลาง เป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์ เรียกว่า ปิ (Pi) เพราะถือว่าสวรรค์กลม และนำมาแกะเป็นรูปสี่เหลี่ยม เป็นสัญลักษณ์ เรียกว่า จุง (Tsung) เพราะถือว่าโลกเป็นรูปสี่เหลี่ยม
ย่อมแสดงให้เห็นว่า คนจีนยกย่องหยกมากจนถึงกับนำมาเป็นคำคุณศัพท์ประกอบคำที่ต้องการยกย่อง มีความหมายในทางที่ดีงาม แม้แต่ตัวอักษรรุ่นแรกของจีน โดยเฉพาะคำว่า "หยก" ก็สร้างหรือกำหนดรูปแบบมาจากรูปลักษณะของอาภรณ์ที่ทำด้วยหยกสามชิ้น มีเชือกร้อยกลาง นอกจากนั้นเครื่องประดับของพระเจ้าแผ่นดิน และผู้มีอันจะกินชาวจีนก็มักจะมีหยกประกอบอยู่ด้วย อาทิเช่น พระราชลัญจกรของจักรพรรดิจีนมักจะทำด้วยหยก ส่วนของไทยจะทำด้วยงาช้างเผือก เป็นต้น คนจีนยังเชื่อกันอีกว่า หยกเป็นสื่อของพลังในการสร้างสรรค์ มีอำนาจคุ้มครองป้องกันอัปมงคล เสนียดจัญไร และถือว่าเป็นโชคลาง โดยมีข้อสังเกตว่า ถ้าหยกที่สวมใส่อยู่นั้นมีสีสันสดใสขึ้น แปลว่า กำลังจะมีโชคดี เป็นต้น

อำนาจเร้นลับกับความเชื่อต่าง ๆ ของหยก- โดยธรรมชาติแล้วหยกจะมีเนื้อที่เป็นรู ดังนั้น การที่มีความเชื่อว่า เมื่อหยกเปลี่ยนสีเขียวหรือเข้มขึ้นจะทำให้ร่ำรวยขึ้นนั้น อาจมีสาเหตุมาจาก การที่ผู้สวมใส่หยกทำงานหนัก น้ำมันจากร่างกายจึงเข้าไปอุดรูต่างๆ ในเนื้อหยกทำให้มองไม่เห็นรูพรุนเหล่านั้น จึงมองเห็นหยกเป็นสีเข้มขึ้น และการทำงานหนักก็มักจะเป็นการสร้างความร่ำรวยให้กับผู้นั้น
- คนจีนโบราณเชื่อกันว่า หยกเป็นหินศักดิ์สิทธิ์ มีคุณสมบัติในการปกป้องคุ้มครองทารก จึงนิยมสวมหยกติดตัวเด็กๆ ช่วยป้องกันคุ้มครอง
- คนจีนเชื่อว่า หยก เป็นหินซึ่งนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง ส่งเสริมให้เกิดความเจริญก้าวหน้า และช่วยให้อายุยืน
- มีการนำหยกไปบดและละลายในน้ำค้างเพื่อดื่ม เนื่องจากเชื่อว่า หยก ทำให้จิตใจสงบ
- ชื่อ " หยก ( Jade )" มาจากภาษาสเปนว่า " Piedra de hijada " หมายถึง หินเนื้อดี เพราะเชื่อว่าใช้รักษาอาการผิดปกติที่เกี่ยวกับสะโพกได้

สัญลักษณ์ ความเชื่อ ความศรัทธา

หยก แกะสลัก สัญลักษณ์ของความเป็นศิริมงคล
เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆกับความหมายของหยกแกะสลักชาวจีนมักมีความเชื่อกันว่าหยก(Jade) เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งศักสิทธิ์จากสวรรค์ (Stone of Heaven) ช่วยส่งเสริมโชคลาภ ความร่ำรวย ความสงบสุข ความมีอายุยืน จึงมีการนำหยกมาแกะสลักเป็นรูปต่างๆ ตามความเชื่อเพื่อใช้พกพาและเป็นเครื่องประดับอันเป็นมงคล สัญลักษณ์ของหยกแกะสลักและความหมาย

สัญลักษณ์-ความหมาย
ฮก - ความมั่งคั่ง ความมีโชคลาภ
ลก - ความมีวาสนา / บารมี / เกียรติยศ
ซิ่ว - ความมีอายุยืนยาว
ไฉ่ซิงเอี๊ย - เทพเจ้าแห่งความรำรวยและโชคลาภ
โซ่วชิง - เทพแห่งความยั่งยืน
ฮั้วฮะ - ความรักใคร่สามัคคีปรองดอง
เหรียญเงินจีน - ความร่ำรวย กุญแจแห่งความสำเร็จ
ก้อนทอง - ความร่ำรวย (18 ก้อน - รวยแน่ รวยจริง)
แจกัน - ความร่มเย็นเป็นสุข
คฑายู่อี่ - ความสมปรารถนา
กุญแจ - จะใช้มอบให้เด็กซึ่งมีความหมายว่า อายุยืน และพรั่งพร้อมไปด้วยทรัพย์สมบัติ (1 ดอก ต่อ 1 คน)
ลูกท้อ - ความมีอายุยืน ความมั่นคง ป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้มารบกวน
ทับทิม - มีลูกหลานสืบสกุลมากมาย ป้องกันสิ่งชั่วร้าย
ลูกพลับ - ความสมปรารถนาทุกประการ
ถั่วลิสง - ความยั่งยืน
น้ำเต้า - มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย มีลูกหลานบริวารมาก
ต้นไผ่ - ความสงบสุขของจิตใจ ความราบรื่น ป้องกันภูตผีปีศาจ
ต้นสน - ความยั่งยืน ความมีโชคลาภ
ดอกเหมย - ความสุข (ใช้ในการอวยพรให้คู่บ่าวสาว)
โบตั๋น - ความเป็นเลิศในความสามารถ งามสง่า มียศศักดิ์
ดอกหงอนไก ่ - ความก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ
ดอกบัว - ความปรองดองร่วมกัน
ดอกเก็กฮวย - ความยั่งยืน
เห็ดหลินจือ - ความยั่งยืน ความสมปรารถนา
ลำใย - ความปราดเปรื่อง
ส้ม - โชคลาภ (2 ผล = มหาโชค)
ส้มมือ(ส้มโอมือ) - โชควาสนา ประสพความสำเร็จ
ช้าง - ความเป็นศิริมงคล
มังกร - สัตว์มงคลวิเศษ ขจัดความชั่วร้ายและภูตผีปีศาจ
ม้า - ทันที รวดเร็ว (ถ้าม้าและมังกรจะหมายถึงสำเร็จอย่างรวดเร็ว)
ต้างคาว - โชคลาภ (ถ้ามีจำนวน = 5 จะหมายถึงโชค 5 ประการ คือ อายุ ร่ำรวย สุขภาพดี มีคุณธรรมและนิรันดร)
นกกะเรียน - ความรักเดียวใจเดียว ความยั่งยืน
หงส์ - ความสุข สงบและความสันโดษ
กวาง - ยศถาบรรดาศักดิ์
ไก่ตัวผู้ ู้- ความหมายเช่นเดียวกับกวาง
สิงโต - อวยพรให้มีตำแหน่งสูง
เสือ(เสือคาบดาบ) - พลังอำนาจในการขจัดสิ่งชั่วร้ายและภูตผีปีศาจ
หมู เป็ด ปู - เป็นที่ 1 (อาจใช้ในการอวยพรให้โชคดีในการสอบได้ด้วย)
นกยูง - ตำแหน่งสูงในทางราชการ

เรื่องเล่ามงคล

เรื่องเล่า เสริมดวงโชดชะตา เสริมฮวงจุ้ย

ตํานานเทศกาลกินเจ


ตํานานเทศกาลกินเจ
ประเพณีการกินเจกำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือเริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนทุกๆ ปี รวม 9 วัน 9 คืน มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีนมานานแล้ว โดยมีตำนานเล่าขานกันหลายตำนาน
ตำนานที่ 1
ชาวจีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชน 9 คน ซึ่งเรียกว่า “หงี่หั่วท้วง” ซึ่งได้ต่อสู้กับชาวแมนจูอย่างกล้าหาญถึงแม้จะแพ้ก็ตาม ชาวบ้านได้พากันถือศีลกินเจนุ่งขาวห่มขาวเพราะเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยชำระจิตวิญญาณเกิดความเข้มแข็งทางร่างกายและจิตใจ
ตำนานที่ 2
เพื่อเป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า “ดาวนพเคราะห์” ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้สาธุชนในพระพุทธศาสนาสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีลงดเว้นเนื้อสัตว์และแต่งกายด้วยชุดขาว
ตำนานที่ 3
ผู้ถือศีลกินเจในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีลกาล 7พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์(หรือ “เก้าอ๊อง”)ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาติดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ
ตำนานที่ 4
กินเจเพื่อเป็นการบูชากษัตริย์เป๊ง “กษัตริย์เป๊ง” เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้องซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่งเป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการเมือง การที่เผยแผ่มาสู่เมืองไทยได้นั้นเพราะชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่อีกทอดหนึ่ง
ตำนานที่ 5
1500 ปีมาแล้ว มณฑลกังไสเป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองมาก ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเป็นเลิศทั้งบุ๋นและบู๊จึงทำให้หัวเมืองต่างๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็งและมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มีทั้งหมดที่มากกว่าหลายเท่าตัวโอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ
จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่าอีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วยแต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสาและเพ่งญาณเห็นว่าควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญ ลีฮั้วก่าย คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่ามีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบเศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไปและประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืนผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อนและผู้อื่นจึงปฏิบัติตามจนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย
เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไสจึงได้ศึกษาตำราการกินเจของเศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องส่องเต้ (พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ)
ตำนานที่ 6ชายขี้เมานามว่า เล่าเซ็ง เข้าใจผิดคิดว่าแม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่ได้มาเข้าฝันบอกว่า แม่ตายไปได้รับความสุขมากเพราะแม่กินแต่อาหารเจและตอนนี้แม่อยู่บนเขาโพถ้อซัว ตั้งอยู่บนเกาะน่ำไฮ้ ในมณฑลจิ๊ดเจียงถ้าลูกอยากพบแม่ให้ไปที่นั่น
ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งอยากไปแต่ไปไม่ถูกจึงตามเพื่อนบ้านที่จะไปไหว้พระโพธิสัตว์ เพื่อนบ้านเห็นเล่าเซ็งสัญญาว่าจะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงให้ไปด้วย ระหว่างทางเดินสวนกับคนขายเนื้อเล่าเซ็งลืมสัญญาที่ให้ไว้เพื่อนบ้านก็หนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมาและต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เล่าเซ็งจึงขอตามนางไป
เมื่อถึงเขาโพถ้อซัวขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบไหว้พระโพธิสัตว์นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูปที่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเดินทางกลับเขาได้แยกทางกับหญิงสาวและได้พบเด็กชายคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่จึงเข้าไปถามไถ่ได้ความว่าเป็นลูกของเขากับภรรยาที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วยแล้ววันหนึ่งหญิงสาวที่นำทางไปเขาโพถ้อซัวมาขออาศัยอยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
หญิงสาวผู้นั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ประพฤติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรมและถือศีลกินเจอยู่เนืองนิตย์ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้วจึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางอาบน้ำแต่งตัวด้วยอาภรณ์ที่ขาวสะอาดแล้วนั่งสักครู่ก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่จึงเกิดศรัทธายกสมบัติให้ลูกชายแล้วประพฤติตนใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่และหญิงสาวและประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้น

ความหมายของ เจ
คำว่า เจ ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายเดียวกับคำว่า อุโบสถ ดังนั้นการกินเจก็คือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน เหมือนกับที่ชาวพุทธในประเทศไทยที่ถืออุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 โดยไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว
แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธฝ่ายมหายานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมนำการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกันเข้ากับคำว่ากินเจ กลายเป็นการถือศีลกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่ากินเจ ฉะนั้นความหมายก็คือคนกินเจมิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ
แจมิได้แปลว่า อุโบสถ
ในภาษาจีนมี(กลุ่ม)คำหรือวลีที่ใช้อักษรแจ(เจ, 齋 / 斋 )เป็นตัวประกอบร่วมด้วยหลายคำ แต่คำว่าโป๊ยกวนแจไก่ (八關齋戒 ) ซึ่งเป็นศัพท์ของทางพุทธศาสนา ดูจะเป็นคำที่นิยมหยิบยกมาใช้อธิบายความหมายของอักษรแจเสมอมา
โป๊ยกวนแจไก่ (八關齋戒 ) แปลว่า ศีลบริสุทธิ์แปดประการ ซึ่งก็คือ “ศีลแปด”ที่เรารูจักกันดี
คนไทยในรุ่นปู่ย่าตายายที่เคร่งในศีลวัตรจะไปอาราธนาศีลแปดจากพระสงฆ์ในวันธรรมสวนะภายในพระอุโบสถ ศีลแปดจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า “ อุโบสถศีล ”
ผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องกินเจที่ไม่เข้าใจภาษาและที่มาของคำจึงแปลอักษรแจผิดว่า “อุโบสถ” ซึ่งคำแปลนี้ก็ฮิตติดตลาดและถูกคัดลอกไปใช้บ่อยอย่างน่ารำคาญใจ เพราะหากจะเอาตามความในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานแล้ว
อุโบสถ เป็นคำนาม หมายถึง สถานที่ที่พระสงฆ์ประชุมกันทำสังฆกรรมต่างๆ เรียกย่อว่า โบสถ์
การแปลและเข้าใจคลาดเคลื่อนดังกล่าวยังถูกใช้เป็นบรรทัดฐานในการอธิบายวัตรปฏิบัติของการกินเจผิดตามไปด้วยว่า “การกินเจต้องถือศีลข้อวิกาลโภชน์” หรือการงดกินของขบเคี้ยวหลังเที่ยงวันไปแล้ว ซึ่งเป็นศีลข้อหนึ่งในศีลแปด ทั้งๆที่โรงครัวของศาลเจ้าหรือโรงเจที่เปิดเลี้ยงผู้คนในช่วงเทศกาลกินเจล้วนแต่มีอาหารมื้อเย็นให้กับผู้เข้าไปกิน ยิ่งวันที่มีการประกอบพิธีกรรมในตอนค่ำยังมีอาหารมื้อค่ำบริการเสริมให้เป็นพิเศษด้วย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในช่วงเทศกาลกินเจนั้นเขาถือเพียงศีลห้าที่เป็นนิจศีล ไม่ได้ครองศีลแปดอย่างที่หลายคนเข้าใจ (เว้นแต่ผู้ตั้งจิตอธิษฐานว่าจะครองศีลแปดเป็นการส่วนตัวเท่านั้น)
ในทางอักษรศาสตร์จีน อักษรตัว “แจ” มีพัฒนาการมาจาก ตัวอักษร ฉี “ 齊 ” ซึ่งแปลว่าบริบูรณ์ , เรียบร้อย อักษรแจเกิดจากการเพิ่มเส้นตั้งและสองจุด ( 小 ) เข้าไปกลางอักษรฉี ทำให้เกิดตัว ซื ( 示 ) ซึ่งแปลว่าการสักการะ อยู่ในแก่นกลางของตัวฉี
แจ( 齋 ) จึงมีความหมายว่า การรักษาความบริสุทธิ์(ทั้งกายและใจ)เพื่อการสักการะ หรือ การปฏิบัติบูชาถวายเทพยดา
ซึ่งการอธิบายในแนวทางนี้จะสอดคล้องกับ คำว่า “ 齋醮 ” ในลัทธิเต๋า ซึ่งย่อมาจากคำว่า 供齋醮神 ที่แปลว่าการบำเพ็ญกายใจให้บริสุทธิ์เพื่อเป็นสักการะบูชาเทพยดา
ความหมายของแจในศาสนาอิสลาม
ศัพท์คำว่า ศีลแจ / 齋戒 ในภาษาจีน นอกจากใช้ในลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธแล้ว ยังหมายถึง “ศีลอด” ที่ถือปฏิบัติในเดือนถือศีลอดของชาวจีนอิสลาม สาระของศีลก็คือการห้ามรับประทานอาหารใดๆในระหว่างเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นจวบจนลับขอบฟ้า ตลอดเดือนถือศีลอด
แจในวัฒนธรรมดั่งเดิมของจีน
ศัพท์ แจ พบในเอกสารจีนเก่าที่มีอายุกว่าสองพันปีหลายฉบับ เช่น 禮記 , 周易 , 易經 , 孟子 , 逸周書 (เอกสารที่อ้างนี้ปัจจุบันถือว่าเป็นคัมภีร์ในลัทธิหยู) เอกสารเหล่านั้นยังใช้อักษรตัวฉี(齊 )แต่เวลาอ่านออกเสียงกลับต้องอ่านออกเสียงว่า ไจ เช่น คำว่า ไจเจี๋ย / 齊潔 หรือ ไจเจี้ย / 齊戒 ซึ่งก็คือการออกเสียงแจในสำเนียงแต้จิ๋วนั่นเอง อักษรฉีในเอกสารนั้นนักอักษรศาสตร์ตีความว่าแท้จริงแล้วก็คืออักษรตัวแจหรือใช้แทนตัวแจ แจที่ว่านี้หาได้หมายถึงการงดกินของสดคาว หรือ การงดรับประทานอาหารหลังเที่ยง หากหมายถึงการชำระล้างร่างกาย สงบจิตใจ และสวมใส่เสื้อผ้าใหม่สะอาด เป็นการเตรียมกายและใจให้บริสุทธิ์เพื่อประกอบพิธีกรรมสักการะบูชา ขอพร หรือแสดงความขอบคุณต่อเทพยดาแห่งสรวงสวรรค์
แจเพื่อการจำแนกความเคร่งครัดของภิกษุฝ่ายมหายาน
ศีลของภิกษุฝ่ายมหายาน ในส่วนเกี่ยวกับการฉันของภิกษุแตกต่างจากฝ่ายเถรวาททั้งมีการจำแนกเป็นสองลักษณะตามสำนักศึกษาได้แก่
1.เหล่าที่ถือมั่นในศีลวิกาลโภชน์และฉันอาหารเจ จะไม่ฉันอาหารหลังอาทิตย์เที่ยงวัน เรียก ถี่แจ /持齋
2.เหล่าที่ถือมั่นแต่การฉันอาหารเจ เรียกถี่สู่ /持素
เจียะแจ
ความหมาย เจียะแจ (食齋 ) เป็นการออกเสียงตามสำเนียงถิ่นแต้จิ๋ว ศัพท์คำนี้ใช้และเป็นที่เข้าใจแต่ทางตอนใต้ของจีนโดยเฉพาะแถบลุ่มอารยะธรรมหลิ่งหนาน (領南)ในมณฑลกวางตุ้ง อันเป็นแหล่งอาศัยดั่งเดิมของคนแคะ แต้จิ๋ว กวางตุ้งและไหหนำ ซึ่งเป็นชาวจีนกลุ่มใหญ่ในประเทศไทย เจียะแจตรงกับคำว่า ชือซู ( 吃素 )ในภาษาจีนกลาง (สำเนียงปักกิ่ง)
เจียะ ( 食 ) ในภาษาถิ่นใต้ หากใช้ในความหมายของคำกิริยา แปลว่า กิน
แจ ( 齋 ) แปลว่า บริสุทธิ์ ( 清淨 ) ( อ้างตามปทานุกรมพุทธศาสนาฉบับ วัดฝอกวงซัน ,ไต้หวัน )
เจียะแจ หรือ ตรงกับคำไทยที่นิยมใช้กันว่า กินเจ จึงแปลว่า การกินอาหารที่บริสุทธิ์ตามความเชื่อ(ในลัทธิกินเจ) ซึ่งหมายความถึงอาหารที่ไม่คาวหรือไม่เจือปนซากผลิตภัณฑ์ของสัตว์ รวมทั้งไม่ปรุงใส่พืชผักต้องห้าม
คำว่าเจียะแจนี้ชาวจีนฮกเกี้ยนทางปักษ์ใต้แถบจังหวัดภูเก็ตเรียกต่างออกไปว่า เจียะไฉ่ (食菜) ที่แปลตามตัวอักษรได้ว่า “กินผัก” แต่มีนิยามหรือความหมายตรงกับคำว่าเจียะแจที่กล่าวข้างต้น

ที่มา http://www.oknation.net

ความเชื่อ เทพเจ้าจีน

ความเชื่อ สัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์มงคล

มังกร


(อักษรจีนตัวเต็ม: 龍; อักษรจีนตัวย่อ: 龙; พินอิน: lóng) เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นอันหนึ่งของจักรพรรดิและวัฒนธรรมจีน มีลักษณะที่มาจากสัตว์หลาย ๆ ชนิดผสมผสานกัน ลักษณะลำตัวยาวเหมือนงู มีเขี้ยวขนาดใหญ่หนึ่งคู่อยู่ที่บริเวณขากรรไกรด้านบน มีหนวดยาวลักษณะเหมือนกับไม้เลื้อย และมีแผงคอเหมือนกับของสิงโตอยู่บน คอ , คาง และข้อศอก มีเกล็ดสีเขียวเข้มทั่วทั้งบริเวณลำตัวรวมทั้งสิ้น 117 เกล็ด ซึ่งเกล็ดมังกรจำนวน 81 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยางซึ่งเป็นเกล็ดที่มีความดี เกล็ดมังกรจำนวน 36 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยินซึ่งจะเป็นเกล็ดที่มีความชั่ว ลักษณะเขาของมังกรจะมีสันหลังทอดยาวไปตามหลังและหาง เป็นหนามยาวและสั้นสลับกัน มีขา 4 ขาและกรงเล็บแข็งแรง
เกล็ดของมังกรจีนนั้น จะมีลักษณะเฉพาะเปลี่ยนไปตามแต่ละชนิดของมังกร ตั้งแต่สีเขียวเข้มจนถึงสีทอง หรือบางแหล่งกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้นมีหลายสี เช่น สีน้ำเงิน สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว หรือสีเหลือง แต่ในกรณีของมังกรชนิด ไชโอะ (chiao) หลังของมังกรจะเป็นสีเขียว บริเวณด้านข้างเป็นสีเหลือง และใต้ท้องเป็นสีแดงเข้ม มังกรจีนชนิดหนึ่งจะมีปีกที่ด้านข้างของลำตัว และสามารถที่จะเดินบนน้ำได้ แต่สำหรับมังกรจีนอีกชนิดหนึ่งเมื่อสะบัดแผงคอไปข้างหน้าและข้างหลัง จะทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงขลุ่ย
มังกรจีนจะมีโหนกอยู่บนหัวซึ่งทำให้สามารถบินได้ เรียกโหนกที่อยู่บนหัวว่า เชด เม่อ (ch’ih muh) แต่ถ้ามังกรจีนตัวใดไม่มีโหนกที่บริเวณหัว จะกำคทาเล็ก ๆ ที่
เรียกว่า โพ เชน (po-shan) ซึ่งสามารถทำให้มังกรลอยตัวในอากาศได้ ในประเทศจีนคนโบราณมีความเชื่อกันว่ามังกรคือสัตว์ที่ทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าและดิน ได้รับการกล่าวกันว่ามีความเป็นมิตร มากกว่าความร้ายกาจ เป็นสัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งความสุข และความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง พบได้ใน แม่น้ำและทะเลสาบ ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางสายฝน มังกรได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ และเป็นสิ่งที่เสริมสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นให้แก่กษัตริย์
ตำนานมังกรจีนโบราณ
มังกรจีนโบราณในตำนาน
ตำนานมังกรจีนโบราณมีอายุยาวนานกว่า 4,000 ปี ซึ่งลักษณะรูปร่างของมังกรจีนนั้น สุดแล้วแต่นักวาดรูปจะจินตนาการเสริมแต่งออกมา การขายจินตนาการของนักวาดรูปจะเขียนมังกรออกมาโดยยึดลักษณะรูปแบบที่เล่าต่อ ๆ กันมาคือ มังกรจีนจะมีลักษณะลำตัวที่ยาวเหมือนงู มีเกล็ดสีเขียว นัยน์ตาสีแดง มีหนวดและเขาอย่างละคู่ มีขา 4 ขาและกงเล็บที่แข็งแรง มังกรจีนโบราณถูกยกย่องว่าเป็นสัตว์เทพเจ้าซึ่งชาวจีนเคารพนับถือ เป็นสัตว์พาหนะของเทพเจ้าในลัทธิเต๋า ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองปราสาทราชวังของเทพเจ้าบนสวรรค์ มังกรจีนที่มีกงเล็บ 5 เล็บ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิหรือฮ่องเต้ของจีนเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ มังกรบางตัวจะถือไข่มุกเม็ดใหญ่อยู่ที่ขาหน้า ครั้งหนึ่งคนเคยคิดว่าไข่มุกคือไข่ของมังกร มังกรบางชนิดวางไข่ในน้ำไหล
มังกรจีนในตำนานนั้น สามารถที่จะทำตัวเองให้มีขนาดใหญ่เท่ากับจักรวาลหรือมีขนาดเล็กเท่ากับหนอนไหมได้ และในบรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ของจีน มังกรจีนถือเป็นสัตว์แห่งเทพเจ้า ได้รับความนับถือมากที่สุด มังกรจีนมีลักษณะนิสัยที่เมตตากรุณา เป็นมิตร ทะเยอทะยาน และมองโลกในแง่ดี นอกจากนี้ยังมีความฉลาด มีปัญญามาก มีความเด็ดขาด และมีพลัง มังกรจีนจึงเป็นที่ปรึกษาของผู้นำในด้านต่าง ๆ แต่มังกรจีนมีทิฐิในตัว จะถือตัวว่าถูกหมิ่นประมาทเมื่อผู้นำไม่ยอมทำตามคำแนะนำของมังกรจีน หรือเมื่อผู้คนไม่ให้เคารพความสำคัญ มังกรจีนจะทำให้ฝนหยุดตก หรือเป่าเมฆดำออกมาซึ่งจะนำพาพายุ และน้ำท่วมมาให้ มังกรตัวเล็กก็ทำเรื่องยุ่งยากเล็ก ๆ เช่นทำหลังคารั่ว หรือทำให้ข้าวเกิดความเหนอะหนะ
มังกรจริง ๆ ในปัจจุบันก็คือซากของไดโนเสาร์ยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งกลายเป็นหิน ไข่ไดโนเสาร์ถูกค้นพบในหลายพื้นที่ในประเทศจีน ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีไดโนเสาร์มากที่สุดในโลกในสมัยโบราณใช้ในการประกอบเป็นยาสมุนไพร เรียกกันว่า "ยากระดูกมังกร" ส่วนไข่ของมังกรจีนนั้นในสมัยเฉียนหลง ถือเอาไข่มังกรจีนเป็นเครื่องรางประจำราชสำนักภายในพระราชวังปักกิ่ง แต่ต่อมาเมื่อพระราชวังปักกิ่งแตก ไข่มังกรจีนก็ตกทอดมาจากประเทศจีนมาอยู่ที่ประเทศไทย
ซึ่งไข่มังกรที่ตกทอดมาอยู่ภายในประเทศไทยนั้น มีตำนานเล่าขานกันมาแต่โบราณว่า เมื่อคณะทูตหรือคณะผู้แทนจากประเทศจีนใช้เรือไฮจี่โดยการนำของ ยังชีขี มีผู้ติดตามมาด้วยจำนวน 449 คน มีทหารประจำเรือ 279 คน เพื่อขอเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอภิเศกดุสิต เมื่อเวลาบ่ายโมงของวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 โดยมีพระยาบริบูรณโกษากรเข้าเฝ้าฯ และมอบหมายให้พระยาบริบูรณโกษากร หรือ ฮวด โชติกะพุกกณะ หรือเจ้าคุณกิมจึ๋ง เป็นผู้จัดการประสานงาน และเลี้ยงต้อนรับในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ตามลักษณะของไข่มังกรที่สืบทอดกันมาเป็นตำนานนั้น มีลักษณะคล้ายกับลูกแก้วหินผลึกคล้ายคลึงกับลูกแก้วของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดของประเทศไทยแต่ถูกตกแต่งด้วยการเลี่ยมและห่อหุ้มคล้ายกับห่อด้วยแก้วนั่นเอง ทำให้เรื่องของไข่มังกรจีนกลายเป็นเรื่องที่กล่าวขานกันพอสมควรในสมัยนั้น
กำเนิดมังกรจีน
ตามความเชื่อของชาวจีนโบราณนั้น จะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ 4 ชนิด คือ กิเลน หงส์ เต่า และมังกร โดยชาวจีนจะเชื่อถือกันว่ามังกรนั้น เป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้ง 4 ชนิดนั้น มังกรจีนหรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า "เล้ง-เล่ง-หลง-หลุง" ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะของการออกเสียงของในแต่ละท้องถิ่น ชาวจีนถือว่ามังกรนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลัง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ และเพศชาย
เนื่องจากมังกรจีนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัตว์แห่งเทพเจ้าในสรวงสวรรค์และเป็นตัวแทนของจักรพรรดิ ผู้เป็นโอรสจุติมาจากสวรรค์ ชาวจีนจึงมีความเชื่อว่าหากผู้ที่ได้พบเห็นมังกร จะถือว่าเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองมาก ผู้ที่มีโอกาสจะได้ขี่หลังมังกรจะต้องเป็นคนมีศีล มีสัตย์ มีจิตใจบริสุทธิ์ดีงาม ถึงจะมีมังกรมารับไปเป็นเซียนอยู่บนสวรรค์ ในสมัยโบราณนั้นชาวจีนได้มีการจัดทำ ตำรามังกร ขึ้นมา ซึ่งเป็นการรวบรวมในรายละเอียดส่วนของประวัติ เผ่าพันธุ์และลักษณะของมังกรไว้อย่างละเอียดที่สุด แต่เนื่องมาจากตำราเหล่านั้นได้สูญหายไปตามกาลเวลาแล้ว การศึกษาเรื่องของมังกรจีนในปัจจุบัน จึงเป็นเพียงแค่การศึกษาจากหลักฐานต่าง ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่และจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ชาวจีนเท่านั้น
ตามตำนานในสมัยโบราณของจีน มี เจ้าแม่นึ่งออ หรือ หนี่วา มีลักษณะลำตัวเป็นคน แต่หัวเป็นงู ซึ่งในบางตำราก็มีการบอกต่อ ๆ กันมาว่าว่ามีลำตัวตัวท่อนบนเป็นคน แต่ท่อนล่างเป็นงู เมื่อเจ้าแม่นึ่งออสิ้นอายุไข นางได้ตายไปแล้วเป็นเวลา 3 ปี แต่ศพของนางกลับไม่เน่าเปื่อย และเมื่อมีคนลองเอามีดผ่าท้องของนางดู ก็ปรากฏมีมังกรเหลืองตัวหนึ่งพุ่งออกมาแล้วเหาะขึ้นฟ้าไป
ตามตำราดึกดำบรรพ์ของจีนกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้น ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยของ พระเจ้าฟูฮี,ฟูซี หรือฟูยี (หรือเมื่อประมาณ 3,935 ปีก่อนพุทธกาล) มีตำนานกล่าวกันไว้ว่า มีมังกรอยู่ตัวหนึ่งเป็นเจ้าเหนือน่านน้ำทั้งปวงเป็นระยะเวลาหลายพันปี ซึ่งแท้จริงแล้วมังกรตัวนั้นก็คือ พระเจ้าฟูฮี แปลงร่างนั่นเอง พระเจ้าฟูฮีนั้นป็นผู้ที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก ทรงคิดประดิษฐ์ของหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น "โป๊ย-ก่วย" หรือ ยันต์แปดทิศ อีกทั้งยังทรงเป็นผู้กำหนดการที่ให้ชายหญิงมีการมั่นหมายกันเป็นคู่ครองอีกด้วย
ในหนังสือประวัติวัฒนธรรมจีนได้กล่าวกันไว้ว่า มังกรนั้นได้ถือกำเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอึ่งตี่ พระเจ้าอึ่งตี่, อึ้งตี่ หรือหวงตี้ ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ที่รวบรวมแผ่นดินจีนไว้เป็นผืนเดียวกัน โดยพระองค์ได้ทรงสร้างจินตนาการรูปมังกรขึ้นมา จากการรวมสัญลักษณ์ของเผ่าต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มังกรกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ว่าเผ่าต่าง ๆ ได้รวมกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ตามตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อพระเจ้าอึ่งตี่สิ้นอายุไข ก็มีมังกรจากฟ้าลงมารับพระองค์และพระมเหสีขึ้นไปเป็นเซียนบนสวรรค์ โดยบางตำราได้กล่าวว่าพระองค์นั้นเป็นหวงตี้องค์เดียวกับที่ได้เป็นเจ้าสวรรค์ หรือเง็กเซียนฮ่องเต้ในเวลาต่อมา เพราะเหตุนี้ชาวจีนจึงถือว่ามังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง
คนจีนกับความเชื่อเรื่องมังกร
ตามความเชื่อของคนจีน การได้ขี่หลังมังกรถือเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของมังกรในคนจีนโบราณ เป็นความเชื่อเก่าแก่ตั้งแต่มนุษย์เริ่มที่จะรู้จักกับสัตว์เลี้อยคลานขนาดยักษ์ และให้ความเคารพยำเกรงดุจเทพเจ้า ซึ่งความเชื่อเหล่านี้มีอยู่ทั่วทุกแห่งหน ทุกชนชาติทั่วทั้งโลกที่มีประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ เช่น ประวัติศาสตร์ของยุคอียิปต์ ประวัติศาสตร์ของยุคกรีก ประวัติศาสตร์ของยุคโรมัน ประวัติศาสตร์ของยุคอินเดีย และประวัติศาสตร์ของยุคจีนซึ่งความเชื่อนี้สืบทอดกันมาตั้งแต่ความเชื่อเรื่องงูขนาดใหญ่ ที่สืบเนื่องยาวนานคู่กับมนุษย์โลกโดยเฉพาะชาวจีนแผ่นดินใหญ่
คนจีนโบราณจะเชื่อกันว่าน้ำลายของมังกรนั้น จะก่อให้เกิดลูกแก้ววิเศษที่เรียกกันว่า "ไข่มุขแห่งดวงจันทร์" และ "ไข่มุกแห่งความสมบูรณ์" จะบันดาลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แห่งพืชพรรณธัญญาหาร เพาะปลูกสิ่งใดก็จะเจริญงอกงาม และยังเชื่อกันอีกว่าเลือดของมังกรจีนนั้น เมื่อไหลออกจากตัวของมังกรจีนจะแทรกซึมเข้าไปในแผ่นดินจีนและจะกลายสภาพเป็นอำพัน เมื่อมังกรลอกคราบจะทำให้เขาของมังกรเรืองแสงได้ มีพลังในตัวเป็นอย่างมากและส่องแสงสว่างในความมืด คล้าย ๆ กับความเชื่อเรื่องยาอายุวัฒนะของต้นโสม
คนจีนโบราณนับถือมังกรเป็นเทพเจ้า เชื่อกันว่ามังกรนั้นชอบนกนางแอ่นย่าง ดังนั้นก่อนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล จึงต้องมีการพลีของถวายให้แก่มังกรเพื่อเป็นการเอาใจและขอให้เดินทางโดยปลอดภัย ตามความเชื่อของนักเดินเรือในสมัยโบราณ ซึ่งว่ากันว่ามังกรนั้น หวาดกลัวใบสนไหม 5 สี ขี้ผึ้ง เหล็ก และตะขาบ สำหรับไหม 5 สี นี้เป็นความเชื่อมาอย่างช้านานตั้งแต่สมัยโบราณ ในการออกเดิน เรือ ในทะเล คนจีนจะใช้ไหม 5 สี ผูกที่หัวเรือเพื่อเป็นการป้องกันอันตรายจากมังกร ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นความเชื่อเกี่ยวกับ แม่ย่านาง แทน แม่ย่านางของนักเดินเรือชาวจีนคืออมนุษย์เทพเจ้าองค์เล็ก ประจำท้องถิ่นในแต่ละแห่งที่มีความเชื่อเกี่ยวกับการแต่งกายของแม่ย่านาง การผูกไหม 5 สีที่หัวเรือนี้ เป็นการเคารพ แม่ย่านาง หรือ เจ้าแม่ทับทิม (เทพยดาหม่าโจว) คือเทพธิดาในลัทธิเต๋า ที่นักเดินเรือทั้งหลายให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับนายพลเรือเจิ้งเห่อ หรือแต้ฮั้ว ผู้เป็นใหญ่แห่งราชวงศ์หมิง ในยุคสมัยขององค์จักรพรรดิหย่งเล่อ
มังกรจีนเป็นสัตว์เทพเจ้าที่อยู่บนสรวงสวรรค์ตามความเชื่อของชาวจีน เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของชนชาติจีน ชาวจีนทั่วโลกต่างหยิ่งทะนงในการที่พวกตนนั้น สืบสายเลือดมาจากมังกร (Lung Tik Chuan Ren) ชาวจีนเชื่อกันว่ามังกรนั้นเป็นเทพเจ้าในตำนานที่จะนำมาซึ่งอายุยืนยาว ความเจริญรุ่งเรือง โชคลาภวาสนา และจากสัญลักษณ์ของจักรพรรดิและอำนาจอันยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้ ตำนานมังกรของจีนได้ซึมซาบเข้าไปในวิถีชีวิตของชาวจีนโบราณ และกลายมาเป็นวัฒนธรรมของชาวจีนตราบจนถึงทุกวันนี้ มังกรจีนได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ ความดีงาม และอำนาจบารมี มังกรจีนหรือ หลง แสดงถึงพลังอำนาจและคุณงามความดี ความองอาจกล้าหาญ ความเป็นวีรบุรุษและความอุตสาหะพยายาม ความมีคุณธรรมอันสูงส่งและยิ่งใหญ่ดุจดั่งเทพเจ้า มังกรจีนนั้นไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคขวากหนามใด ๆ จนกว่าจะทำในสิ่งที่ต้องการได้สำเร็จ มีความขยันขันแข็ง เด็ดขาด เฉลียวฉลาด มองโลกในแง่ดี และมีความทะเยอทะยาน ซึ่งแตกต่างจากพลังด้านมืดของมังกรตะวันตก มังกรตะวันตกนั้นส่วนใหญ่ขี้หงุดหงิด มีปีก บินและพ่นไฟได้ แต่มังกรตะวันออกจะมีลักษณะสวยงาม เป็นมิตร และมีความเฉลียวฉลาด มังกรจีนถือเป็นเทพเจ้าแห่งทิศบูรพา แทนที่จะถูกเกลียดชังเช่นมังกรตะวันตก มังกรตะวันตกกลับได้รับความรักและเคารพสักการะ วัดและศาลเจ้าถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ความเคารพสักการะบูชาในฐานะผู้ควบคุมฝนแม่น้ำทะเลและมหาสมุทร หลายเมืองในประเทศจีนจะมีเจดีย์ซึ่งชาวจีนจะมาเผาเครื่องหอมเพื่ออ้อนวอนต่อมังกร ศาลเจ้ามังกรดำซึ่งตั้งอยู่ใกล้กรุงปักกิ่งถูกสงวนไว้เฉพาะมเหสีของจักรพรรดิเท่านั้น
ชาวจีนจะมีการบวงสรวงมังกรเป็นพิเศษที่นี่ทุกวันที่ 1 และ 15 ของทุกเดือน ศาลเจ้าและแท่นบูชามังกรยังคงปรากฏให้เห็นตามชายฝั่งทะเลและริมฝั่งแม่น้ำในหลาย ๆ ส่วนของจีนและดินแดนตะวันออกไกล เพราะมังกรจีนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้ำ โบสถ์กลางน้ำในประเทศญี่ปุ่นกลายมาเป็นแหล่งแวะพักที่ได้รับความนิยมของผู้แสวงบุญซึ่งสวดอ้อนวอนต่อมังกร ตำนานของชาวจีนตำนานหนึ่งบันทึกไว้ว่า มังกรจีนเพศผู้และเพศเมียเคยแต่งงานกับมนุษย์และลูกหลานของมังกรจีนก็กลายมาเป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จักรพรรดิญี่ปุ่นที่ชื่อ ฮิโรฮิโตะ สืบสาวต้นตระกูลของตนเองย้อนหลังไปจนถึง 128 รุ่น ซึ่งก็คือ เจ้าหญิง Fruitful Jewel ลูกสาวของราชามังกรแห่งท้องทะเลลึก จักรพรรดิของหลายประเทศในเอเชียอ้างว่าตนเองก๋มีบรรพบุรุษเป็นมังกร ซึ่งก็ทำให้มีความคิดที่ว่าทุกสิ่งที่ใช้จะต้องประดับด้วยมังกรเช่น บัลลังก์มังกร เสื้อคลุมมังกร เตียงมังกร เรือมังกร การที่ชาวจีนถือว่าจักรพรรดิเป็นมังกรเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ชาวจีนมีความเชื่อว่าจักรพรรดินั้นสามารถทำให้ตนเองกลายเป็นมังกรได้
ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมังกรจีนล้วนให้ความสุขความเจริญ ในทุก 12 ปี จะมีปีมังกรซึ่งยังให้เกิดความโชคดี โชคลาภวาสนาโหรตะวันออกในปัจจุบันอ้างว่าเด็กที่เกิดระหว่างปีมังกรจะมีสุขภาพดีและอายุยืนยาว เคยมีมังกรที่ชาญฉลาดมาเป็นที่ปรึกษาให้กษัตริย์ สามร้อยปีที่ผ่านมา กษัตริย์กัมพูชาใช้เวลาตอนกลางคืนอยู่ในหอคอยทอง ที่ซึ่งเขาจะได้ขอความเห็นกับผู้ปกครองที่แท้จริงของแผ่นดินแห่งเก้ามังกร (Land of Nine-Headed Dragon) มังกรจีนนั้นเชื่อในความคิดของตนมาก ถึงแม้ว่าจะสุขุม รอบรู้ แต่มังกรจีนจะรู้สึกว่าถูกดูถูกถ้าหากผู้ปกครองไม่ทำตามคำแนะนำ หรือประชาชนไม่คิดว่ามังกรจีนสำคัญ มังกรจะหยุดสร้างฝนและทำให้แผ่นดินแห้งแล้ง หรือน้ำท่วม มังกรที่ตัวเล็กกว่าจะแกล้งทำให้เกิดความเสียหายต่าง ๆ นานาอย่างเช่นหลังคารั่วหรือข้าวเหนียว ชาวจีนจะจุดประทัดและถือมังกรกระดาษขนาดใหญ่ในขบวนแห่ที่จัดขึ้นเป็นพิเศษ และจัดการแข่งขันเรือมังกรในลำน้ำเพื่อทำให้มังกรของพวกเขาพอใจ
มังกรกลายมาเป็นส่วนสำคัญของชีวิตของผู้คนชาวจีน ในรูปของเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์ อย่างที่ชาวโลกได้รู้จักกันเป็นอย่างดีคือ Sheng Chi มังกรจีนคือผู้ที่ยอมสละชีวิตและพลังของตนออกมาในรูปของฤดูกาลของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ มังกรจีนเป็นผู้นำน้ำมาจากฝน ความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ สายลมจากทะเลและผืนดินจากโลก มังกรเป็นตัวแทนของพลังที่ยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติ พลังอำนาจสูงสุดของโลก บางครั้งเราอาจพบมังกรจีนในรูปสัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งการปกป้องและคุ้มครอง พวกมันถูกยกย่องให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งมวล พวกมันมีสามารถอาศัยอยู่ในทะเล บินขึ้นไปถึงสวรรค์ และขดตัวบนพื้นดินในรูปของภูเขา ในหมู่ของสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายทั้งหลาย มังกรสามารถปัดเป่าวิญญาณที่ชั่วร้าย ปกป้องผู้บริสุทธิ์และทำให้ผู้ที่ถือเครื่องหมายของพวกมันรอดพ้นจากพยันตรายต่างๆ นานาได้ มังกรจีนถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แทนความโชคดีสูงสุด
ลักษณะของมังกรจีน
ลักษณะของมังกรจีนที่เกิดจากจินตนาการ
คนจีนแทนลักษณะเฉพาะของมังกร 9 อย่าง ตามประเพณี แต่ละอย่างแสดงถึงลักษณะของมังกรที่แตกต่างกัน ลักษณะของ มังกรจีนในงานด้านจิตกรรมประติมากรรมของจีน ซึ่งใช้ในเวลาและโอกาสที่ต่างกัน คือ
• ลักษณะหัวของมังกร คล้ายกับหัวของอูฐ บางตำราก็บอกว่ามาจากหัวม้าหรือหัววัวหรือหัวจระเข้
• ลักษณะหนวดของมังกร คล้ายกับหนวดของมนุษย์
• ลักษณะเขาของมังกร คล้ายกับเขาของกวาง มังกรจะมีเขาได้ก็ต่อเมื่อมีอายุ 500 ปี และเมื่ออายุถึง 1,000 ปี ก็จะมีปีกเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง
• ลักษณะตาของมังกร คล้ายกับตากระต่าย บางตำราบอกว่ามาจากตาของมารหรือปีศาจหรือตาของสิงโต
• ลักษณะหูของมังกร คล้ายกับหูวัว แต่ไม่สามารถได้ยินเสียง บางตำราก็ว่าไม่มีหู บางตำราบอกว่ามังกรได้ยินเสียงทางเขาที่เหมือนเขากวางนั้น
• ลักษณะคอของมังกร คล้ายกับคองู
• ลักษณะท้องของมังกร คล้ายกับท้องกบ บางตำราบอกว่ามาจากหอยแครงยักษ์
• ลักษณะเกล็ดของมังกร คล้ายกับเกล็ดปลามังกร บางตำราว่ามาจากปลาจำพวกตะเพียนหรือกระโห้ โดยมังกรจะมีเกล็ดตลอดแนวสัน-หลัง จำนวน 81 เกล็ด มีเกล็ดตามลำคอจนถึงบนหัว บนหัวมังกรมีรูปลักษณะเหมือนสันเขาต่อกัน เป็นทอดๆ
• ลักษณะกงเล็บของมังกร คล้ายกับกงเล็บของเหยี่ยว จำนวนเล็บของมังกรแต่ละตัวจะไม่เท่ากัน มังกรที่ยิ่งใหญ่จึงจะมี 5 เล็บ นอกนั้นก็จะเป็น 4 เล็บหรือ 3 เล็บ
• ลักษณะฝ่าเท้าของมังกร คล้ายกับฝ่าเท้าของเสือ
ลักษณะของมังกรจีน สัญลักษณ์แห่งเทพเจ้าที่จีนให้ความเคารพนับถือ ลักษณะของมังกรเกิดจากจินตนาการโดยการรวมเอาลักษณะของสัญลักษณ์เผ่าต่างๆมารวมกัน มีความแตกต่างกันตามคติความเชื่อถือและการประดิษฐ์ของช่าง มีกาลเทศะและวาสนาแตกต่างกันไปตามความเชื่อของคตินิยมแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งว่ากันว่ามังกรของจีนนั้นมี 9 ท่า 9 สี คำว่า หลง ในภาษาจีนกลางหมายถึงมังกรที่มีลักษณะดังนี้
• มังกรมีเขา หรือหลง เป็นลักษณะของมังกรที่มีเขาเหมือนกับกวางดาว ซึ่งคนญี่ปุ่นถือว่ากวางเป็นสัตว์ที่มาจากฟากฟ้าแดนสวรรค์ มีอำนาจมากที่สุดสามารถทำให้เกิดฝนได้ และหูหนวกโดยสิ้นเชิง อินเดียนแดงถือว่ากวางเป็นสัตว์ที่เป็นอมตะนิรันด์กาล แต่คนไทยกลับนิยมกินเนื้อกวาง ซึ่งจะชำแหละเนื้อไว้กินและหนังจะส่งขายให้กับประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำไปทำเป็นซับในของเสื้อเกราะญี่ปุ่นซึ่งหนังกวางนั้นเป็นสินค้าส่งออกที่มีความสำคัญของไทยมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
• มังกรมีปีก หรือหว่านซี่ฟ่าน เป็นมังกรฝรั่งที่สามารถพ่นไฟ ได้ คนฝรั่งนิยมที่จะนำมังกรมีปีกนี้มาประกอบฉากเป็นพาหนะของผู้ร้ายหรือเป็นตัวแทนของมังกรที่ดุร้าย แต่ในสมัยราชวงศ์หมิง คนจีนนำมังกรชนิดนี้มาทำเป็นลวดลายบนถ้วยข้าวต้ม
• มังกรสวรรค์ หรือเทียนหลง มีชื่อเรียกว่า มังกรฟ้า เป็น มังกรในหาดสวรรค์ บางครั้งก็จะเป็นพาหนะของเทพเจ้าเทวาในลัทธิเต๋า คนจีนมีความเชื่อกันว่า มังกรเทียนหลงนี้เป็นมังกรที่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองปราสาทราชวังของเทพเจ้าบนสรวงสรรค์ และเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของฮ่องเต้อีกด้วย
• มังกรวิญญาณเฉียนหลง หรือหลีเฉี่ยวหลง เป็นมังกรที่บันดาลให้เกิดลมฝนเพื่อประโยชน์ต่อการเกษตรและมนุษยชาติของชาวจีน แต่โบราณ มังกรหลีเฉี่ยวหลงนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของจักรราศีอีกด้วย
• มังกรเฝ้าทรัพย์ หรือฟูแซง เป็นมังกรบาดาล มังกรฟูแซงนี้น่าจะเป็นคติของอินตู้หรืออินเดียมากกว่าของจีน ซึ่งชาว กรีก โบราณเองก็มีความเชื่อกันในเรื่อง "มังกรบาดาล" เช่นกัน ความเชื่อเกี่ยวกับมังกรบาดาลนี้เป็นความเชื่อและคติที่เก่าแก่มาก
• มังกรขด ไม่มีฝอย เป็นมังกร "หด" ธรรมดา
• มังกรเหลือง เป็นมังกรจ้าปัญญา ทำหน้าที่คอยหาข้อมูลให้กับจักรพรรดิฟูใฉ่ที่เป็นตำนาน
• มังกรบ้าน หรือลี่หลง เป็นมังกรที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรและในทะเล บางตำนานเรียกว่า ไซโอ๊ะ มีเกล็ดปกคลุมทั่วทั้งตัว มักอาศัยอยู่ในหนองน้ำใกล้ ๆ กับถ้ำที่มีอากาศอับชื้น
• พญามังกร คือมังกร 4 ตัว ซึ่งปกครองอยู่เหนือทะเลทั้งสี่ คือทะเล ตะวันออก(ตัง) ,ใต้(น้ำ) ,ตะวันตก(ไซ) และเหนือ(ปัก) พญามังกรอาศัยอยู่ในปราสาทมหาสมุทรหรูหรา(วังใต้ทะเล) และกินไข่มุกเจียงตู หรือไข่มุก และโอปอล เป็นอาหาร และพญามังกรทั้งสี่ตัวเป็นพี่น้องกัน บางแหล่งข้อมูลกล่าวว่ามังกร 4 ตัวนี้มีผู้ควบคุมชื่อ ฉิน แท็ง (Chien-Tang) เป็นมังกรที่มีสีแดงเลือด มีแผงคอเป็นไฟ และยาว 900 ฟุต
มีการบรรจุคำว่ามังกรลงในพจนานุกรมของประเทศจีน มีความหมายว่า "มังกรเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่มากที่สุด มีลักษณะหัวคล้ายหัวอูฐ มีเขาคล้ายเขากวาง ดวงตาคล้ายกับดวงตาของกระต่ายป่า หูของมันคล้ายหูวัว ปีกของมันคล้ายนกอินทรี มีลำคอยาวคล้ายงู ช่วงท้องมีลักษณะคล้ายกบ รูปร่างของมันคล้ายกับปลาตัวใหญ่ เท้าคล้ายกับเท้าเสือ เสียงของมันคล้ายเสียงตีฆ้อง เมื่อมันหายใจ ลมหายใจของมันมีลักณะคล้ายเมฆ ซึ่งบางครั้งก็ออกมาเป็นฝน บางครั้งก็เป็นเปลวไฟ"
ที่มา http://th.wikipedia.org

ปี่เซียะ

กวางสวรรค์มี 1 เขา มีปากไม่มีทวาร เชื่อกันว่าทรัพย์มีแต่เข้าไม่มีออก รูปลักษณะของปี่เซี๊ยะตามตำราเดิมเป็นสัตว์สี่เท้า ตัวเป็นกวาง แต่หางเป็นแมว มีเขา และปีก แต่บางแบบก็ไม่มีปีก เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งคำว่า “ปี่เซียะ” เป็นสำเนียงจีนกลาง ถ้าจีนแต้จิ๋วเรียกว่า “ผี่ชิว” กวางตุ้งเรียก “เพเย้า” หรืออาจเรียกในชื่ออื่นๆ เช่น เถาปก หรือ ฝูปอ นี้เป็นคำเรียกรวมๆ ของ “สิ่งซิ้ว” สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตระกูลหนึ่ง
ปี่เซียะ ปี่คือตัวผู้ ส่วนเซียะคือตัวเมีย สองเขาจะเรียกว่าปี่เซียะ ส่วนเขาเดียวจะเรียกว่าเทียนลก ทางเหนือของจีนจะเรียกว่าปี่เซียะ ส่วนทางใต้จะเรียกว่าเทียนลก ถ้าเป็นตัวเดียวจะเป็นตัวเสี่ยงโชค แต่ถ้าเป็นคู่สำหรับวัตุถุมงคล สำหรับขจัดสิ่งชั่วร้าย
ในจดหมายเหตุฮั่นชุในภาคที่ว่าด้วยดินแดนทางประจิมทิศ มีข้อความระบุไว้ว่าในแคว้นหลีแถบเขาอูเกอซาน นั้นมีสัตว์ตระกูลนี้ปรากฏอยู่ลักษณะแตกต่างกันเล็กน้อย นั้นคือ เทียจนลก เทียนหลู่ ตัวคล้ายกวาง หางยาว มีเขาเดียว คำว่าเทียนลู่นั้นแปลตรงตัวว่า กวางสวรรค์ ครั้นต่อมาคำว่า ปี่เซียะ หรือ ผี่ชิว กลายเป็นคำที่คนทั่วไปคุ้นเคยกว่า เทียนลู่แล้วจึงให้เรียกรวมกันไปในทางมายาศาสตร์จีน
แต่เดิมปี่เซียะเป็นสัตว์มงคลที่มีอนุภาพในทางกำจัดปีศาจ และสิ่งชั่วร้ายรวมทั้งปกป้องจากคุณไสย และมนต์ดำต่างๆ กล่าวคือคำว่าปี่ หรือ ผี่ นั้น แปลว่า ปิด เร้นลับหลบซ่อน คำว่า ปี่เซี๊ยะ หรือ ชิว คือ อาถรรพณ์ สิ่งไม่ดี คุณไสย ภูติปีศาจ คำว่าปี่เซียะ หรือ ผี่ชิว จึงแปลได้ว่า ขจัดอาถรรพณ์
คนจีนสมัยก่อนจึงมักเขียนภาพ หรือตั้งปติมากรรม รูปปี่เซียะไว้ตามประตูบ้าน และสุสานทั่วไป บางทีก็ประดับไว้บนหลังคาพระราชวังต่างๆ เพื่อให้มันช่วยขจัดสิ่งอัปมงคลทั้งหลายนั้นเอง ว่ากันว่ามีพลังในการกำราบสิ่งชั่วร้าย

ลักษณะ 8 ประการของปี่เซียะ
1. อ้าปากรับทรัพย์
2. หางยาวกวักโชคลาภ
3. ยกหัวข่มศัตรูคู่แข่ง
4. เท้าตะปบเงิน (หาเงินเก่ง รักษาทรัพย์ให้งอกงาม)
5. ก้าวขา-ก้าวหน้า
6. ลิ้นยาว ตวัดโชคลาภเงินทอง
7. องอาจน่าเกรงขาม
8. ไม่มีรูทวาร (รูตูด) เงินทองเข้าอย่างเดียวไม่ไหลออก

ความเชื่อ สัตว์มงคล

ตำนานเง็กเซียนฮ่องเต้


องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ หรือ เง็กอ๋องไต่เต่ 玉皇大帝 หรือ หยกอ๋องฮ่องเต้ หรือ หยกอ๋องส่องเต่ หรือ เหล่าโจ้วกง หรือ สมเด็จพระจักรพรรดิหยก หรือ เหวินเทียนจิ่วไจ้อิ้ว หวงเทียนจุน หรือ อิ้วหวงซังตี้ หรือ อิ้วหวงต้าตี่ เป็นเทพเจ้าสูงสุดของจีน
องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ องค์เง็กเซียนฮ่องเต้มีมเหสี คือ พระนางซิหวังหมู่ (Hsi Wang-mu) พระนางทรงเป็นเจ้าเเม่เเห่งสวรรค์ตะวันตก เป็นเทวราชินีผู้ควบคุมกาลเวลาเเละมิติรวมทั้งความตายอีกด้วย เจ้าเเม่มีที่ประทับอยู่ที่เทือกเขาคุนหลุน อีดทั้งยังมีสวนท้อทิพย์ที่ใช้จัดเลี้ยงบรรดาเซียนทุกๆ 3000 ปี ดังนั้นรูปของเจ้าเเม่จึงมักถือท้อเป็นสัญลักษณ์ เจ้าเเม่ซิหวังหมู่ยังเป็นเทพีเเห่งการร่วมสังวาสอีกด้วย เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงเป็นเทพเจ้าสูงสุดในด้านการปกครองตามลัทธิเต๋า แต่พระองค์จะต้องทรงรับพระบัญชาหรือคำแนะนำจาก เอวียนซื่อเทียนจุน ทรงเป็นองค์พระมหาจักรพรรดิที่ทรงปกครองเทวดาทั้งเก้าชั้นซึ่งประกอบด้วยเทวดาเป็นหมื่นๆองค์ ทรงเป็นใหญ่เหนือ ฟ้า ดิน และมนุษย์ ทรงเป็นผู้สร้างสวรรค์ ทรงมีพระราชอำนาจที่จะสั่งเทวดาได้ทุกชั้นฟ้า ทรงควบคุมการสงคราม หยินและหยาง ทรงควบคุมการกำเนิด ทรงควบคุมองค์จักรพรรดิที่เป็นมนุษย์ ทรงควบคุมดูแลพื้นดิน แม่น้ำ ทรงควบคุมดูแลเทพารักษ์ที่สถิตอยู่ ณ มหาสมุทรทั้งหมดและภูเขาทั้งห้า สรุปได้ว่า ภาระหน้าที่ของพระองค์ก็คือ การบริหารจัดการ สวรรค์ พื้นดิน และมนุษย์ ในรัชสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิซ่งเจิ้นจง แห่งราชวงศ์ซ่ง ระหว่าง พ.ศ. ๑๖๔๔ - ๑๖๖๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เทิดพระนามองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ให้สูงขึ้นเป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิผู้สร้างสวรรค์ผู้ทรงมีพลานุภาพผู้เปี่ยมด้วยฤทธานุภาพฯ และในรัชสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิซ่งฮุ่ยจง ยังได้ทรงโปรดฯให้เทิดพระนามให้สูงขึ้นไปอีก องค์เง็กเซียนฮ่องเต้เดิมทรงเป็นองค์รัชทายาท ทรงเป็นองค์ชายที่งามสง่าและทรงเป็นผู้มีอัจฉริยะ โปรดฯให้ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเป็นประจำ ทรงแนะนำให้เหล่าเสนาบดี ดูแลราษฎรและปกครองด้วยความยุติธรรม ส่วนพระองค์ได้เสด็จไปทรงบำเพ็ญเพียรที่ภูเขาหยก แห่งเทือกเขาคุนลุ้น ซึ่งมีทะเลสาบหยก และต้นไม้หยกสูงกว่าสามร้อยวา ต้นไม้หยกต้นนี้มีลูกเป็นสีแดง หากใครได้รับประทาน จะได้เป็นคนอมตะ คือไม่ตาย ในที่สุด พระองค์ทรงสำเร็จญาณชั้นสูง และทรงได้รับให้เป็นองค์จักรพรรดิหยกในที่สุด วันสำคัญขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติ ที่ชาวจีนบวงสรวงเซ่นไหว้ก็คือ วันที่ ๙ ค่ำ เดือน ๑ ตามจันทรคติจีน และวันที่สำคัญอีกวันหนึ่งคือวันที่ ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ พวกนักพรตลัทธิเต๋าและผู้ที่นับถือพระองค์ ต่างก็ประกอบพิธีเซ่นไหว้ ด้วยธูปหอม สุรา หมู ไก่ เป็ด และแพะ กล่าวกันว่าพระองค์เสวยพระกระยาหารเจ ส่วนอาหารคาวที่คนนำไปเซ่นไหว้นั้น พระองค์พระราชทานเลี้ยงแก่พระสหาย
พระรูปปั้นและรูปวาดขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้
จะทรงฉลองพระองค์เช่นเดียวกับฮ่องเต้ คือ มีพระมาลา ด้านหน้ามีเส้นร้อยไข่มุกเป็นแถวห้อยลงมาหน้าพระพักตร์ พระหัตถ์ทรงถือพระป้ายซือฮุดหน้าพระอุระ ด้านหลังมีพนักงานสองคนคอยโบกพัด ด้านหน้ามีองครักษ์สององค์ทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น พระองค์ทรงได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าสูงสุดตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๔ เป็นต้นมา
ที่มา http://www.thaigoodview.com/

ตำนานกำหนดเทพเจ้าจีน


ผางอู๋ผู้เบิกฟ้าเปิดแผ่นดิน
ในช่วงศตวรรษที่ 3-6 คนจีนเชื่อว่าจักรวาลในปัจจุบันเป็นเพียงวัตถุก้อนเดียวหน้าตาคล้ายๆไข่ไก่ หมุนวนไปมาจนดูครึ้มเหมือนเมฆหมอก กาลเวลาผ่านไปก็มีสัตว์ประหลาดเกิดขึ้นจากกลุ่มเมฆหมอก นี่แหละ เขาเรียกกันว่า ผางอู๋(Pangu) บางตำราก็เรียกกันว่า ผานกู่ (Panku) เรื่องเล่าของ ผางอู๋ก็มีหลายตำรา บางตำราบอกว่าสัตว์นี้รูปร่างใหญ่โตกำยำ มีเขางอกที่หัว มีเขี้ยวงอกที่ปาก มีขนรุงรังเต็มตัว มือซ้ายถือสิ่ว มือขวาถือขวานใหญ่ บางตำราบอกว่ามี 7 แขน 8 เท้าบางตำราบอกตรงข้ามกันไปเลยว่า เป็นเหมือนคนแคระนุ่งห่มหนังหมีหรือใบไม้ บางตำราบอกว่าอยู่ในไข่ แต่สิ่งที่ตรงกัน เจ้าผางอู๋นี้ ตัวโตเร็วมาก สูงขึ้นได้ถึงวันละ 10 ฟุต พอโตมากจักรวาลรูปไข่ที่อยู่ก็แตกออกเป็นสองส่วน ส่วนที่ใสสะอาด(สงสัยเป็นไข่ขาว)กลายมาเป็นสรวงสวรรค์ ส่วนที่ขุ่นข้นกว่า(สงสัยเป็นไข่แดง) ตกลงมาเป็นตะกอน กลายเป็นแผ่นดิน แล้วมีเจ้าผางอู๋นี่แหละอยู่ตรงกลางเป็นตัวแยก พอเจ้าผางอู๋โตขึ้น ฟ้ากับดินก็แยกกันมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป กว่าผางอู๋จะตายประมาณว่าฟ้าดินห่างกันราว 30,000 ไมล์ ฟ้ากับดินที่เจ้าผางอู๋ไปขั้นไว้นั้น ฟ้าเปรียบได้กับเพศชาย เรียกว่า หยาง(Yang) ซึ่งแสดงถึงความอบอุ่น แสงสว่างตรงข้ามกับหยิน(Yin)ซึ่งเปรียบได้เหมือนเพศหญิง ซึ่งแสดงถึงความมืดและความหนาวเย็น ส่วนดินที่เจ้าผางอู๋ใช้เท้ายันไว้นั้น เล่ากันว่ามีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีมหาสมุทรอยู่ล้อมทั้งสี่ด้าน เรียกไดว่าเป็นด้านล่างของเปลือกไข่ ส่วนท้องฟ้าที่แน่นอนว่าเป็นด้านบนของไข่นั้น มีรูปเหมือนชามคว่ำ มีพระอาทิตย์ตั้ง 10 ดวง มีพระจันทร์ 12 ดวง ลอยไปลอยมาใต้รูปชามคว่ำฝา เนื่องจากพระอาทิตย์มีตั้ง 10 ดวง เลยต้องมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปปรากฏตัวบนท้องฟ้า รุ่งอรุณที่พระอาทิตย์ต้องทำหน้าที่ก็จะค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากหุบเขาแสงสว่าง แล้วไปสรงน้ำที่ทะเลสาบสุดขอบของจักรวาลด้านตะวันออก พอสรงสนานเสร็จ ก็จะปีนต้นไม้ที่อยู่ข้างทะเลสาบ อีก 9 ดวงที่ไม่มีหน้าที่ก็ปีนอยู่แถวกิ่งล่างๆ ดวงที่เข้าเวรก็ปีนอยู่แถวบนๆ เพื่อรอขึ้นไปทำหน้าที่ต่อ พอรถมารับพระอาทิตย์ก็นั่งรถไปเรื่อยๆจนถึงขอบตะวันตก ส่วนพระจันทร์ก็วิ่งสลับทางกัน พระจันทร์ออกจากทางทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก ส่วนเจ้าผางอู๋ก็ค้ำยันระหว่างฟ้ากับดินมาเรื่อยๆจนตาย พอตายไปเจ้าผางอู๋ก็สลายธาตุไปเป็นสิ่งต่างๆนานา บนโลกมนุษย์นี่แหละ ลมหายใจกลายเป็นลมและกลุ่มเมฆ เสียงกลายเป็นฟ้าแลบ ฟ้าผ่า ตาซ้ายกลายเป็นเทือกเขาและภูเขา คอยค้ำยันฟ้าดินให้อยู่ห่างกันต่อไป ส่วนเลือดกลายมาเป็นแม่น้ำ เส้นเลือดกลายเป็นถนนหนทาง เนื้อกลายเป็นต้นไม้และดิน เส้นขนบนหัวกลายเป็นดวงดาว ผิวหน้ากับขนตามลำตัวกลายเป็นต้นหญ้า ดอกไม้ ส่วนฟันและกระดูกกลายเป็นหินและแร่ธาตุ ส่วนเหงื่อกลายมาเป็นน้ำค้าง
ส่วนคนเรามาจากตัวพยาธิ เห็บ หมัด ที่แทรกอยู่ในตัวเจ้าผางอู๋ ส่วนแขนขาลำตัวที่กลายมาเป็นภูเขาเทือกเขาเปรียบเสมือนเสาที่คอยค้ำยันฟ้ากับดินไว้ ภูเขาที่สำคัญที่สุดคือด้านตะวันออกและตะวันตก ภูเขาด้านตะวันออกมีชื่อว่า ไทซาน (Tai shan) ซึ่งเป็นภูเขาที่มีอยู่จริงตามภูมิศาสตร์ของจีน ผู้ที่ดูแลรักษาภูเขาแห่งนี้มีชื่อว่า มูคุง (Mu-Kung) ผู้เป็นใหญ่แห่งหยาง และเทพเจ้าแห่งความเป้นอมตะ ส่วนภูเขาด้านตะวันตกมีชื่อว่า คุนลุน (Kun-lun) หรือเรียกว่า คุนลุ้น ภูเขาสูงเสียดฟ้าและหยั่งรากลึกลงไปในดิน เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำเหลืองและเป็นที่สถิตอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์ บางตำรากล่าวว่า มนุษย์มาจากการเสกสรรปั้นแต่งของเทพเจ้าชื่อนูกัว เทพเจ้าตนนี้มีส่วนเป็นมนุษย์ส่วนล่างเป็นมังกร สร้างสรรค์ปั้นแต่งสิ่งต่างๆได้มากมาย อยู่มาวันหนึ่ง เทพเจ้านูกัวรู้สึกว่าโลกช่างเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว เลยอยากสร้างอะไรซักอย่างมาเป็นเพื่อน ว่าแล้วไม่รอช้า ตรงที่แม่น้ำเอาโคลนมา ปั้นส่วนบนให้เหมือนนาง แต่ส่วนล่างปั้นให้มีขาแทน จะได้ตั้งได้ ปั้นเสร็จก็ให้ชีวิตด้วย เจ้ามนุษย์ที่ปั้นมาเลยมีความสามารถร้องรำทำเพลง ทำให้นางมีความสุข เทพเจ้านูกัวเลยได้ความคิดว่าถ้าโลกมีสิ่งมีชีวิตนี้มากๆคงจะดี ว่าแล้วนางเลยนั่งปั้นโคลน วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า จำนวนที่ปั้นได้ยังไม่มากพอซักทีเลยคิดวิธีใหม่ ว่าแล้วก็ไปเอาเถาวัลย์ยาวๆจุ่มลงไปในโคลนแล้วบิดเกลียว โคลนที่ติดเถาวัลย์หยดลงมาเป็นตัวตน เป็นรูปร่างมนุษย์ขึ้น เขาเชื่อว่ามนุษย์ใดที่เทพเจ้านูกัวปั้นจะร่ำรวย แต่มนุษย์ใดเกิดจากเถาวัลย์ปั้นจะโชคร้าย มีชีวิตยากลำบาก ต่อมาเทพเจ้านูกัวก็คิดอีกว่า ถ้านางไม่อยู่แล้วใครมามานั่งปั้นส่วนมนุษย์ที่ตายไปละเนี่ย นางเลยแบ่งมนุษย์ออกเป็นสองเพศ คือชาย-หญิง จะได้สามารถผลิตมนุษย์เองได้ มนุษย์เลยมีจำนวนมากมาย

ต้นตระกูลของเทพเจ้า
ในช่วงแรกของจักรวาลไม่ได้มีสรวงสวรรค์ให้เทพเจ้าอยู่แต่อย่างใด จนกระทั่งเกิดผางอู๋ขึ้นมา ถือได้เลยว่าผางอู๋เป็นต้นกำเนิดของเทพเจ้า เพราะได้ทำการแบ่งแยกสวรรค์และโลกมนุษย์ออกจากกัน โดยผางอู๋ ได้อาศัยอยู่ที่เทือกเขาสูงเสียดฟ้าเหนือพื้นดิน ซึ่งเรียกว่าเทือกเขาหยก(Jade capital Mount) โดยได้อาศัยอากาศจากสวรรค์ และดื่มน้ำจากโลกมนุษย์
หลังจากนั้นมาเนิ่นนาน ได้มีเทพเจ้าจากสวรรค์ที่ชื่อว่า เทพเจ้าหยก หรือ หยูจิงซิ่น ได้มาประสบพบพักตร์กับสาวเจ้านางหนึ่งของโลกมนุษย์ซึ่งเป็นต้นตระกูลของเทพเจ้าบนโลกมนุษย์เช่นกัน ทำให้เกิดการรวมตัวกันของสวรรค์และโลกมนุษย์ขึ้น ซึ่งได้ก่อกำเนิด กษัตริย์ 3 องค์ และจักรพรรดิ 5 องค์ ปกครองโลกมนุษย์สืบต่อกันมา
กษัตริย์ผู้วิเศษ 3 องค์ มีนามว่า
o เทียนหวง (Tien Huang) หรือเจ้าฟ้า มีน้องชาย 12 คน ครองโลกอยู่ 18,000 ปี จึงสิ้นอายุขัย มรดกที่ทั้งไว้แก่ชาวโลกคือ ได้ตั้งชื่อปีทั้ง 12 ปีของจักรราศีตามชื่อน้องชาย 12 คน
o ตี้หวง(Ti Huang) หรือเจ้าดิน มีน้องชาย 10 คน ครองโลกอยู่ 18,000 ปี เหมือนกัน กษัตริย์องค์นี้ได้ตั้งชื่อแซ่ของมนุษย์ แบ่งเวลาเป้นกลางวัน และกลางคืน จัดเป็นข้างขึ้นข้างแรม แบ่งปีเป็น 365 วัน แบ่งเดือนเป็น 30 วัน และจัดแบ่งฤดูกาลเป็น 4 ฤดู
o เหยินหวง (Jen Huang) หรือเจ้าคน มาปกครองโลกต่อจากตี้หวง เหยินหวงมีน้องชาย 8 คน ได้จัดระเบียบของสังคมและสร้างความเจริญทางด้านวัฒนธรรม เช่น แยกมนุษย์กับสัตว์ให้อยู่คนละส่วน ให้มีการแบ่งชั้นวรรณะ ให้รู้จักกินอยู่อย่างมีระเบียบ ให้รู้จักพิธีแต่งงานเป็นต้น เหยินหวงครองโลกอยู่ 45,600 ปีจึงสิ้นอายุ พอหมดยุคของเทียนหวง ตี้หวง และเหยินหวง แล้วก็ถึงยุคของจักรพรรดิทั้ง 5

ยุคของจักรพรรดิทั้ง 5
ฮวงตี (Huang Ti) ชวนเสียน(Chuan Hsiun) คุน (Khun) เหยา(Yao) และชุน(Shun)ตามลำดับ ในยุคต้นของจักรพรรดิทั้งห้านั้น มวลมนุษย์ต่างอยู่กันอย่างมีความสุข จนผ่านไปถึงแผ่นดินของจักรพรรดิเหยา แม้จะทรงเป็นจักรพรรดิที่ดี มีเมตตาธรรม แต่ช่วงนั้นเกิดการปั่นป่วน จากการอาละวาดของภูตผีปีศาจ กว่าจะปราบศึกเสร็จเล่นเอาเหนื่อยไปตามๆกันทั้งเทพเจ้าและจักรพรรดิ ต้นตระกูลของเทพเจ้าที่เทพเจ้าหยูจิงซิ่น อีกครั้ง เทพเจ้าองค์นี้อาศัยอยู่ในเทือกเขาเจด หรือหุบเขาสวรรค์ หุบเขาสวรรค์แห่งนี้มีเนื้อที่ประมาณ 90,000 ลี้ ราว 45,000 ตร.กม. ทั้งพื้นที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ล้ำค่ามีผลเป็นสีแดง และรายล้อมด้วยสระบัว ภายในหุบเขาสวรรค์มีพระราชวัง 7 แห่ง ราชวังแต่ละแห่งมีวังย่อยอีก 3 วัง แบ่งเป็นวังกลาง วังบน วังล่าง มีพื้นที่กว้างขวาง โอ่อ่า ประดับประดาด้วยทองคำล้ำค่า เทพเจ้าหยูจิงซิ่นได้อาศัยอยู่ในหุบเขาสวรรค์แห่งนี้จนสิ้นอายุขัย

ที่มา www.reocities.com

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หินหยกแกะสลัก 01

หินหยกแกะสลัก 02

หินหยกแกะสลัก 03

หินหยกแกะสลัก 04

หินหยกแกะสลัก 05

หินหยกแกะสลัก

หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก
หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก หยกแกะสลัก


สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

http://www.apart2010.com/