วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หยก อัญมณีหินจากสวรรค์

หยก เป็นอัญมณี ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่คนนิยมเสริมสิริมงคลให้มากขึ้น ด้วยความที่มันสวยเป็นเครื่องประดับได้ และยังถือว่าเสริมมงคลอีกต่างหาก
"หยก" หมายถึง แร่สองชนิด คือ เจไดต์และเนไฟรต์ แร่ทั้งสองชนิดนี้มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันและมีรูปลักษณ์เหมือนกันมาก ซึ่งจะมีสีแตกต่างกันออกไป นับตั้งแต่สีขาวนวลไปจนถึงสีม่วงหรือแม้กระทั่งสีดำและสีเขียว ซึ่งเป็นสีที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด คำว่า "หยก" ซึ่งเป็นชื่อเรียกรวมของแร่ทั้งสองชนิดนี้ มีต้นกำเนิดมาจากคำภาษาสเปน "piedra de la ijada" แปลตามตัวว่า "หินสีข้าง" (เชื่อว่าเป็นชื่อที่ตั้งให้กับหินชนิดนี้ ในฐานะที่ชาวอินเดียนนำหินดังกล่าวมาใช้ในการรักษาที่เกี่ยวกับไต) นักผจญภัยชาวสเปนผู้ค้นพบในอเมริกาเชื่อว่าหยกสามารถรักษาโรคไตได้ นอกจากนี้คำว่า "Nephrite" ยังมาจากคำว่า "Nephros" ซึ่งเป็นภาษากรีกแปลว่า "ไต"
ชาวอินเดียนแดงสวมใส่แร่ชนิดนี้เป็นเครื่องรางป้องกันไม่ให้ถูกงูพิษกัดและเพื่อรักษาโรคลมบ้าหมู และชาวพรีโคลัมเบียน (ชาวอเมริกันอินเดียนก่อนสมัยที่โคลัมบัสค้นพบอเมริกา) ใช้หยกอย่างแพร่หลาย เช่นเดียวกับมหาราชาของอินเดียหลายพระองค์ที่คลั่งไคล้หยกอย่างมาก เพราะสมบัติล้ำค่ามากมายของมหาราชาเหล่านี้แกะสลักมาจากหินอันทรงคุณค่าชนิดนี้นั่นเอง
แต่ทว่าไม่มีชาติใดที่จะมีความเกี่ยวข้องกับหยกมากไปกว่าชนชาติจีนอีกแล้ว ชาวจีนนำหยกมาใช้
เมื่อ 4,000 ปีมาแล้ว หยกฝังแน่นกับวัฒนธรรม หลักปรัชญา และมโนทัศน์ของชาวจีน หยกคือสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกับชนชาติจีน แม้กระทั่งปัจจุบันก็มีชาวตะวันตกไม่มากนักที่ลุ่มหลงหยก หยกที่ดีที่สุดนั้นมาจากประเทศพม่า คนจีนนั้นมีความเชื่อว่าหยกมีพลังอำนาจพิเศษที่ช่วยคุ้มครองผู้สวมใส่ เช่น คนที่ใส่ตกบันไดหรือถูกรถชน แต่สิ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างเดียวคือ สร้อยข้อมือหยก หยกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ หรือไม่ก็หักเป็นสองซีก เพราะว่ามันจะดูดซับผลกระทบจากอุบัติเหตุนั้นไว้และยอมให้ตัวมันเองแตกหัก ก็เลยช่วยชีวิตของคนสวมหรือช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายร้ายแรงขึ้นได้ ใครก็ตามที่เพิ่งประสบเหตุการณ์ทำนองนี้จะรีบออกไปซื้อจี้หยกมาแทนของเก่าทันที ไม่มีใครสนใจจะสวมใส่หยกที่ได้รับการซ่อมใหม่แม้ว่าจะซ่อมออกมาดีก็ตาม เพราะพลังอำนาจในการคุ้มครองหมดไปแล้วจึงต้องใช้อันใหม่แทนที่

สีสันหยก บอกความหมาย
หยกสีเขียว
มีความหมายในด้านอุดมสมบูรณ์ ความมั่นคั่ง ความร่ำรวย ชาวจีนเชื่อว่าหยกสีเขียวเป็นต้นกำเนิดของคำว่า "เงินทองไหลมาเทมา" หากใครต้องการเสริมความมั่งคั่งให้กับตนเองก็ควรมองหาหยกสีเขียวมาสวมใส่กัน
หยกสีขาว
สื่อความหมายว่าเป็นสิ่งที่นำเอาความมีโชดดีมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ผุดผ่องซึ่งเน้นลงไปถึงพลังจิตใจที่ใสสะอาด นอกจากนั้นยังหมายถึงความมีอายุยืนด้วย
หยกสีม่วง
หมายถึงการมีความสมบูรณ์พร้อมทั้งยังช่วยรักษาด้านอารมณ์ของผู้สวมใส่ให้มีความอดทนอดกลั้นและมีความสุขอยู่ตลอดเวลา
หยกสีแดง
หมายถึงการรับรู้อารมณ์ของความรักได้ดี ทั้งยังเป็นหยกที่ช่วยลดความโกรธและความเครียดต่างๆได้อีกด้วย กล่าวได้ว่าคนที่สวมใส่หยกสีแดงนั้นมักจะเป็นคนที่สนุกสนานในการใช้ชีวิตและทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างรูสึกคล้อยตามได้ไม่ยาก และนั้นเป็นหนทางที่ทำให้มีคนสนใจและพอใจจนอาจส่งรัศมีความรักให้ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นการเป็นคนสนุกสนานก็ย่อมทำให้คลายเครียดและมีความสุขเพิ่มมากขึ้นด้วย
หยกสีเหลือง
เป็นสัญลักษณ์แห่งการกระตุ้นชีวิตชีวาให้เต็มไปด้วยความสุข สนุกสนาน ทั้งยังเป็นการเพิ่มพลังให้กับผู้สวมใส่ตลอดเวลา นับว่าหยกสีเหลืองนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งการสร้างสรรค์โดยแท้จริง และถือว่าเป็นสีที่เหมาะสมกับอาชีพที่ต้องการความสุขและการสร้างสรรค์สูงๆเช่น อาชีพศิลปิน นักแสดง

ทัศนคติเกี่ยวกับอัญมณี ของชนชาติต่างๆมีตรงกันบ้าง ต่างกันบ้าง ทั้งในด้านความเชื่อ และคุณค่าของอัญมณี หลายพันปีมาแล้วที่ชาวจีนมีความเชื่อว่า "หยก" เป็นอัญมณีล้ำค่า เป็นสิริมงคลแก่ ผู้ที่ได้มาครอบครอง ทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง โชคดี อายุยืนยาว
ชาวจีนโบราณเรียกหยกว่า "หยู" หรือ "หยุก" หรือ "เง็ก" ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ ที่สวรรค์ประทานให้ ยกย่องให้หยกเป็นสัญลักษณ์ของคุณธรรม 5 ประการ คือ ใจบุญ สมถะ กล้าหาญ ยุติธรรม และมีสติปัญญา ความแข็ง และความหนาแน่นของเนื้อหยกนั้นเปรียบเสมือนความฉลาด และความกล้าหาญ ความลื่นเป็นมันของผิวหยกคือ ความยุติธรรม และการให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลเป็นเครื่องหมายของความกตัญญูรู้คุณ
คนจีนยังเชื่อกันอีกว่า หยกเป็นสื่อของพลังในการสร้างสรรค์ มีอำนาจคุ้มครองป้องกันอัปมงคล เสนียดจัญไร และถือว่าเป็นโชคลาง โดยมีข้อสังเกตว่า ถ้าหยกที่สวมใส่อยู่นั้นมีสีสันสดใสขึ้น แปลว่า กำลังจะมีโชคดี แต่ในทางกลับกัน ถ้าหยกนั้นมีความหมองมัวหรือเห็นรอยแตกร้าว ชัดเจนก็เชื่อกันว่า กำลังจะมีเคราะห์ร้ายเกิดขึ้น
ชาวจีนนิยมนำหยกมาแกะสลักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เช่น ปลา เต่า จิ้งหรีด หน้าเสือ หน้าเสือสองหน้า เรียกว่า เต๋าเตี่ย (Tao Tieh) ใช้เป็นเครื่องลาง บางทีก็ประกอบกีบความเชื่อ เช่น นำมาแกะเป็นรูปกลมแบนมีรูตรงกลาง เป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์ เรียกว่า ปิ (Pi) เพราะถือว่าสวรรค์กลม และนำมาแกะเป็นรูปสี่เหลี่ยม เป็นสัญลักษณ์ เรียกว่า จุง (Tsung) เพราะถือว่าโลกเป็นรูปสี่เหลี่ยม
ย่อมแสดงให้เห็นว่า คนจีนยกย่องหยกมากจนถึงกับนำมาเป็นคำคุณศัพท์ประกอบคำที่ต้องการยกย่อง มีความหมายในทางที่ดีงาม แม้แต่ตัวอักษรรุ่นแรกของจีน โดยเฉพาะคำว่า "หยก" ก็สร้างหรือกำหนดรูปแบบมาจากรูปลักษณะของอาภรณ์ที่ทำด้วยหยกสามชิ้น มีเชือกร้อยกลาง นอกจากนั้นเครื่องประดับของพระเจ้าแผ่นดิน และผู้มีอันจะกินชาวจีนก็มักจะมีหยกประกอบอยู่ด้วย อาทิเช่น พระราชลัญจกรของจักรพรรดิจีนมักจะทำด้วยหยก ส่วนของไทยจะทำด้วยงาช้างเผือก เป็นต้น คนจีนยังเชื่อกันอีกว่า หยกเป็นสื่อของพลังในการสร้างสรรค์ มีอำนาจคุ้มครองป้องกันอัปมงคล เสนียดจัญไร และถือว่าเป็นโชคลาง โดยมีข้อสังเกตว่า ถ้าหยกที่สวมใส่อยู่นั้นมีสีสันสดใสขึ้น แปลว่า กำลังจะมีโชคดี เป็นต้น

อำนาจเร้นลับกับความเชื่อต่าง ๆ ของหยก- โดยธรรมชาติแล้วหยกจะมีเนื้อที่เป็นรู ดังนั้น การที่มีความเชื่อว่า เมื่อหยกเปลี่ยนสีเขียวหรือเข้มขึ้นจะทำให้ร่ำรวยขึ้นนั้น อาจมีสาเหตุมาจาก การที่ผู้สวมใส่หยกทำงานหนัก น้ำมันจากร่างกายจึงเข้าไปอุดรูต่างๆ ในเนื้อหยกทำให้มองไม่เห็นรูพรุนเหล่านั้น จึงมองเห็นหยกเป็นสีเข้มขึ้น และการทำงานหนักก็มักจะเป็นการสร้างความร่ำรวยให้กับผู้นั้น
- คนจีนโบราณเชื่อกันว่า หยกเป็นหินศักดิ์สิทธิ์ มีคุณสมบัติในการปกป้องคุ้มครองทารก จึงนิยมสวมหยกติดตัวเด็กๆ ช่วยป้องกันคุ้มครอง
- คนจีนเชื่อว่า หยก เป็นหินซึ่งนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง ส่งเสริมให้เกิดความเจริญก้าวหน้า และช่วยให้อายุยืน
- มีการนำหยกไปบดและละลายในน้ำค้างเพื่อดื่ม เนื่องจากเชื่อว่า หยก ทำให้จิตใจสงบ
- ชื่อ " หยก ( Jade )" มาจากภาษาสเปนว่า " Piedra de hijada " หมายถึง หินเนื้อดี เพราะเชื่อว่าใช้รักษาอาการผิดปกติที่เกี่ยวกับสะโพกได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น